เขียนเมื่อ : วันศุกร์ ที่ 1 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2564 | อ่านแล้ว : 454 ครั้ง

โรคพังผืดในปอด อาการคล้ายโควิด-19


  โรคพังผืดในปอด เป็นโรคปอดชนิดหนึ่งที่มีการอักเสบของเนื้อเยื่อปอดจนเกิดแผลเป็นและพังผืด มีผลต่อระบบทางเดินหายใจ ซึ่งโรคพังผืดในปอด กับโรคโควิด-19 มีอาการคล้ายกันมาก และเป็นโรคหายากที่ยังไม่ทราบสาเหตุ

  สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับคณะทำงานโรคปอดอินเตอร์สติเชียลและโรคปอดจากการทำงานและสิ่งแวดล้อม (ILD assembly) จัดกิจกรรม "เติมเต็มลมหายใจ" การสัมมนาผ่านทางช่องทางออนไลน์เฟซบุ๊ก เพจรู้ไว้ไอแอลดี ให้ความรู้โรคพังผืดในปอด (Fibrotic-ILD (Fibrotic-Interstitial Lung Disease) โรคหายากที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19


  รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล นายกสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า "โรคพังผืดในปอด หรือ Fibrotic-ILD (Fibrotic-Interstitial Lung Disease) เป็นกลุ่มโรคหายากที่เกิดการอักเสบตรงเนื้อเยื่อในปอด เดิมมีความท้าทายในการคัดกรองวินิจฉัยโรคอยู่แล้ว เนื่องจากอาการคล้ายโรคปอดและระบบหายใจอื่น ๆ ที่แพทย์คุ้นเคย เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ในเพศชาย ภาวะหัวใจล้มเหลวในเพศหญิง วัณโรค มะเร็งปอด โรคหัวใจ แต่การระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ยิ่งทวีความท้าทายให้กับแพทย์และผู้ป่วย เนื่องจากมีอาการคล้ายโรคโควิด-19 ทั้งอาการหอบเหนื่อย ไอแห้ง และการอักเสบที่ปอด ผู้ป่วยจึงควรเข้าใจโรคเพื่อช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยอาการที่บ่งชี้ว่าอาจเข้าข่ายเป็นโรคพังผืดในปอด ได้แก่ มีอาการไอ หรือหอบเหนื่อยมานานกว่า 2 เดือน โดยหาสาเหตุอื่นไม่พบ และไม่เคยสูบบุหรี่ ส่วนแพทย์หากสงสัยและส่งวินิจฉัยเพิ่มเติม หากมีผลเอกซเรย์ปอดที่ผิดปกติ ฟังเสียงหายใจผิดปกติที่ชายปอดทั้ง 2 ข้าง คล้ายเสียงลอกแถบตีนตุ๊กแก และออกซิเจนปลายนิ้วต่ำเมื่อออกกำลัง

  รศ.นพ.นิธิพัฒน์ กล่าวต่อว่า โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวมต่อคนไทย รวมทั้งผลกระทบต่อคนไข้ที่เป็นโรคพังผืดในปอด ที่เข้ารับการรักษาต่อเนื่อง ทั้งการเข้ารับยา ทำกายภาพบำบัด การเข้าถึงการรักษาด้วยออกซิเจนที่ทำได้จำกัด ไม่สามารถตรวจที่โรงพยาบาลตามนัด ถูกเลื่อนหรือส่งยาทางไปรษณีย์ ออกซิเจนขาดแคลน ในขณะเดียวกันโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบผู้ป่วยที่เข้าข่ายจะเป็นโรคนี้ ทำให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยที่ช้าเกินไป เช่น การเอกซ์เรย์ปอด การตรวจสมรรถภาพปอด และการตรวจชิ้นเนื้อ นั้นช้าลง ทำให้ผลการรักษาอาจออกมาได้ไม่ดี อีกด้านหนึ่ง ปอดเป็นอวัยวะสำคัญที่จะถูกโจมตีโดยโรคโควิด-19 ในผู้ป่วยทั้งหมดจะมี 30-50% ที่เกิดปอดอักเสบที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์ ในจำนวนนี้เมื่อหายดีแล้ว อาจจะมีผู้ป่วยหนึ่งในหมื่น หรือน้อยกว่า นั้นเกิดปอดเป็นพังผืดถาวรใกล้เคียงกับโรคพังผืดในปอด หรือ Fibrotic-ILD ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาเรื้อรัง รบกวนชีวิตประจำวันของผู้ป่วยและเป็นภาระต่อครอบครัวและสังคม

  รศ.นพ.กมล แก้วกิติณรงค์ ประธานคณะอนุกรรมการโรคปอดอินเตอร์สติเชียลและโรคปอดจากการทำงานและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า "โรคพังผืด ในปอดพบได้บ่อย ในประเทศตะวันตกมีความชุกของโรคอยู่ที่ 90-100 คน ต่อ 100,000 ประชากรต่อปี ในประเทศไทยยังไม่มีข้อมูลที่เป็นทางการ แต่จากการรวบรวมของสมาคมฯ ในโครงการ IPF Registry ซึ่งเป็นโรคพังผืดในปอดชนิดไม่ทราบสาเหตุ เก็บรวบรวมผู้ป่วยได้กว่า 131 คน สิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดการอักเสบในปอดเกิดจากปัจจัยภายนอก คือ การหายใจรับทั้งสารมลพิษอินทรีย์ สารมลพิษอนินทรีย์ และปัจจัยภายใน เช่น ภาวะภูมิต้านทานเนื้อเยื่อตัวเอง (autoimmune dysfunction) ทำให้เกิดการอักเสบในปอด และอาจจะไม่ทราบสาเหตุ แพทย์จะใช้ประวัติการตรวจร่างกายร่วมกับเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิดความละเอียดสูง (HRCT) โดยอาจพิจารณาร่วมกับการประเมินทางผลปฏิบัติการอื่น ๆ ร่วมด้วย

  "โรคพังผืดในปอด มีโอกาสเพิ่มความรุนแรงเป็นโรคพังผืดในปอดชนิดลุกลาม หรือ PF-ILD (Progressive Phenotype ILD) เกิดพังผืดหรือแผลเป็นบริเวณถุงลมและหลอดลมฝอย ทำให้ออกซิเจนผ่านไปที่ปอดและกระแสเลือดยากขึ้น ผู้ป่วยจะหายใจหอบเหนื่อย ทำให้อวัยวะขาดออกซิเจนและทำงานไม่เต็มที่ แผลเป็นที่ปอดจะไม่หายกลับมาเป็นเนื้อปอดปกติ ดังนั้น หลังจากได้รับการวินิจฉัยว่า เป็นโรคพังผืดในปอดแล้ว ผู้ป่วยต้องไปตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเฝ้าระวังการลุกลามของโรคอย่างใกล้ชิด ในช่วงที่โรคโควิด-19 ระบาดส่งผลต่อการรักษา จึงได้เปิดตัวไลน์ออฟฟิเชียลแอคเคานต์ "ปอดโปร่ง" (O2LUNG) เพื่อช่วยติดตามการรักษา ผู้ป่วยสามารถบันทึกอาการผิดปกติและส่งให้แพทย์ได้ โดยไม่ต้องมาโรงพยาบาล ขณะที่แพทย์สามารถเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้ด้วย" รศ.นพ.กมล กล่าวถึงโรคพังผืดในปอด

  รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ อุปนายกสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า "โรคพังผืดในปอดที่มีอาการลุกลามมีความรุนแรงมากกว่ามะเร็งหลายอย่าง ผู้ป่วยจะมีการสูญเสียการทำงานของปอดอย่างต่อเนื่อง ทุกข์ทรมาน หายใจลำบาก และเสียชีวิตเมื่อปอดทำงานต่อไม่ได้ หรือภาวะหายใจวาย เทียบกับอัตรารอดชีวิตภายใน 5 ปี มะเร็งปอดเฉลี่ยอยู่ 20% โรคพังผืดในปอดไม่ทราบสาเหตุ 35% มะเร็งลำไส้ 60% มะเร็งเต้านม 85% และมะเร็งต่อมลูกหมาก 87% นอกจากนี้ โรคพังผืดในปอด วินิจฉัยไม่ง่ายและมักได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอื่นอยู่นาน และหากได้รับการรักษาที่เหมาะสมช้า ทำให้อัตราการรอดชีวิตน้อยลง เช่น ได้รับการรักษาช้า 1 ปี มีอัตราการเสียชีวิต 8% รักษาล่าช้า 1-2 ปี มีอัตราเสียชีวิต 18% รักษาล่าช้า 2-4 ปี มีอัตราเสียชีวิต 27% และรักษาช้ากว่า 4 ปี มีอัตราเสียชีวิต 32%

  รศ.นพ.ฉันชาย กล่าวต่อว่า ในปัจจุบันมียาต้านพังผืดในปอดซึ่งเป็นยาแบบมุ่งเป้า (targeted therapy) ที่ได้รับการรับรองครอบคลุมทั้ง 3 ข้อบ่งชี้ ประกอบด้วย พังผืดในปอดแบบไม่ทราบสาเหตุ พังผืดในปอดจากโรคหนังแข็ง และพังผืดในปอดชนิดลุกลาม ซึ่งสามารถที่จะชะลอการลุกลามของโรค ลดการกำเริบแบบเฉียบพลัน และลดอัตราการเสียชีวิตได้อีกด้วย โดยมีการรักษาชนิดอื่น ๆ ควบคู่ เช่นการบำบัดด้วยออกซิเจน การฟื้นฟูสมรรถภาพปอด เพื่อให้ผู้ป่วยมีอาการและคุณภาพชีวิตที่ดี วิธีป้องกันโรคพังผืดในปอดที่ดีที่สุดคือใส่หน้ากากหรือเครื่องป้องกันหากต้องอยู่ในภาวะเสี่ยง และหลีกเลี่ยงอย่าให้ปอดติดเชื้อ



ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : thaihealth