ข่าวทั่วไป

เขียนเมื่อ : วันพุธ ที่ 27 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2564 | อ่านแล้ว : 3,421 ครั้ง

โควิดสายพันธุ์ ‘เดลตาพลัส’


ตอนนี้เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับเดลตาพลัส แล้วเชื้อกลายพันธุ์นี้น่ากังวลแค่ไหน

เชื้อโควิดสายพันธุ์ย่อยของเดลตาที่รู้จักในชื่อ AY.4.2 หรือ ‘เดลตาพลัส’ มีสัดส่วน 6% ของเคสผู้ติดเชื้อใหม่ทั้งหมดที่พบในสหราชอาณาจักรในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน

หน่วยงานความปลอดภัยสาธารณสุขสหราชอาณาจักรระบุในรายงานเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนว่า AY.4.2 กำลังแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้ติดเชื้อรายใหม่ในอังกฤษนับตั้งแต่พบครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม

เชื้อนี้ประกอบด้วยการกลายพันธุ์ 2 ตำแหน่งในโปรตีนส่วนที่เป็นหนาม ซึ่งรู้จักในชื่อ Y145H และ A222V โดยจะทำให้ไวรัสแพร่เข้าสู่เซลล์เม็ดเลือดมนุษย์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งเชื้อกลายพันธุ์ 2 ตำแหน่งนี้ ยังพบในโควิดสายพันธุ์อื่นๆ ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของการระบาด

หน่วยงานสาธารณสุขแคนาดายืนยันเมื่อวันอังคารที่แล้วว่า พบเชื้อกลายพันธุ์นี้ในแคนาดาแล้วเช่นกัน โดยมีผู้ติดเชื้อแล้ว 9 รายนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งระบุว่า เวลานี้ยังไม่แน่ชัดว่าเชื้อสายพันธุ์ AY.4.2 นี้น่ากังวลเหมือนกับสายพันธุ์เดลตาดั้งเดิมหรือไม่ แม้ว่าควรเฝ้าระวังก็ตาม

ขณะที่ สตีเฟน ฮอปชัน แคนน์ ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อจากมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย ระบุว่า ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาเชื้อกลายพันธุ์นี้ไม่ได้แพร่ระบาดเร็วนัก แต่ยอมรับว่าเมื่อมีการรวมกับสายพันธุ์เดลตาอาจทำให้ AY.4.2 มีความได้เปรียบ แม้ว่าขณะนี้จะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าความได้เปรียบนั้นคืออะไร ซึ่งนักวิทยาศาสตร์กำลังหาคำตอบกันอยู่ แต่พวกเขาหวังว่าเชื้อสายพันธุ์ย่อยนี้จะไม่สามารถฝ่าระบบภูมิคุ้มของคนที่รับวัคซีนครบโดสแล้ว ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่น่ากังวลที่สุด

ฟรองซัวส์ บัลลูซ์ ผู้อำนวยการสถาบันพันธุศาสตร์ มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน ประเมินว่า AY.4.2 อาจแพร่ระบาดได้เร็วกว่าสายพันธุ์เดลตาดั้งเดิมถึง 10% ขณะที่เดลตาดั้งเดิมก็สามารถแพร่เชื้อได้เร็วกว่าโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิมถึง 2 เท่า

อย่างไรก็ตาม ข้อมูล ณ ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าเชื้อเดลตาสายพันธุ์ย่อย AY.4.2 ทำให้คนป่วยมากขึ้น

นอกจากนี้ AY.4.2 ยังไม่จัดอยู่ใน ‘สายพันธุ์ที่น่ากังวล’ ซึ่งเป็นหมวดความเสี่ยงสูงสุดในขณะนี้ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า วัคซีนโควิดที่มีอยู่ในปัจจุบันยังสามารถป้องกันไวรัสสายพันธุ์ย่อยนี้ได้



ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : thestandard , deadline