เขียนเมื่อ : วันอังคาร ที่ 17 เดือน สิงหาคม พ.ศ.2564 | อ่านแล้ว : 492 ครั้ง

อาการโรคเบาหวาน 10 สัญญาณควรระวัง เช็กได้ง่ายนิดเดียว


  โรคเบาหวานแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ประเภทที่พึ่งอินซูลินและประเภทที่ไม่พึ่งอินซูลิน โดยชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือ ประเภทที่ 2 หรือประเภทที่ไม่พึ่งอินซูลิน ซึ่งมีความรุนแรงน้อย และมักพบในกลุ่มคนอายุ 40 ปีขึ้นไป แต่ก็อาจจะพบในวัยเด็กหรือวัยหนุ่มสาวได้ โดยประเภทนี้ตับอ่อนจะสามารถสร้างอินซูลินได้แต่ก็สร้างได้น้อย­­­­ ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ทำให้ร่างกายจำเป็นต้องได้รับอินซูลินบ้างเป็นครั้งคราว ทั้งนี้อาการของผู้ป่วยโรคเบาหวานมักจะสังเกตได้ดังนี้

ปัสสาวะบ่อยขึ้น หิวน้ำบ่อยขึ้น

  หากคุณเริ่มรู้สึกว่าพักหลัง ๆ คุณลุกไปเข้าห้องน้ำบ่อยกว่าปกติ โดยเฉพาะในตอนกลางคืน และกระหายน้ำมากกว่าเดิม ขอบอกเลยว่านั่นเป็นสัญญาณของโรคเบาหวานค่ะ นั่นก็เป็นเพราะร่างกายจะต้องขับปริมาณน้ำตาลในเลือดที่สูงกว่า­­­­ปกติออกมาทางปัสสาวะ และร่างกายก็ต้องการน้ำเพื่อทดแทนของเหลวที่ขับออกไปพร้อมกับน้ำตาล แต่ก็จะเป็นเฉพาะเวลาที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเท่านั้น หากสามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้ปกติได้ อาการเหล่านี้ก็จะเบาบางล­ง

น้ำหนักลด

  การที่น้ำหนักลดผิดปกติไม่ใช่เรื่องที่ควรละเลยค่ะ เพราะนั่นอาจจะเป็นสัญญาณเตือนของโรคบางชนิดได้ โดยเฉพาะโรคเบาหวาน การที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงจะส่งผลให้น้ำหนักดิ่งลงอย่างรวด­­­­เร็วประมาณ 5-10 กิโลกรัม ภายในเวลา 2-3 เดือนเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ผลดีกับร่างกายเลย

  ส่วนสาเหตุของการที่น้ำหนักลดอย่างรวดเร็วนั้นก็เนื่องมาจากร่า­­งกาย­­ไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ ทำให้ร่างกายเหมือนอยู่ในสภาวะขาดอาหารและเริ่มดึงโปรตีนจากกล้­­­­ามเนื้อ มาใช้เป็นพลังงานแทน นอกจากนี้การที่ไตทำงานอย่างหนักยังส่งผลให้ร่างกายเผาผลาญแคลอ­­­­รีมากเกินไป แถมยังอันตรายต่อไตอีกด้วย

หิวบ่อย กินจุบจิบ

  ถ้าเกิดอยู่ดี ๆ คุณกลายเป็นคนชอบกินจุบจิบหรือหิวบ่อยแบบไม่มีสาเหตุละก็ สันนิษฐานได้เลยค่ะว่า คุณอาจจะกำลังเป็นโรคเบาหวาน เพราะเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ร่างกายก็จะต้องการอาหารเพื่อเ­พิ่มระดับน้ำตาลในเลือด และจะส่งสัญญาณออกมาเป็นความรู้สึกหิวนั่นเอง แต่ถ้าอยากให้แน่ใจว่าป่วยเป็นเบาหวานหรือไม่ก็ควรไปตรวจจะดีกว­­­­่า

มีปัญหาที่ผิวหนัง

  ผิวแห้งแตก หรืออาการคันบนผิวหนัง เป็นสัญญาณพื้นฐานของผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยผู้ป่วยเบาหวานบางรายอาจจะมีรอยดำคล้ำที่บริเวณคอหรือใต้รัก­­­­แร้ ซึ่งมีสาเหตุมาจากภาวการณ์ดื้ออินซูลินในร่างกาย ดังนั้นหากพบว่ามีปัญหาผิวหนังดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด

บาดแผลหายช้า

  หากบาดแผลที่เกิดจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น การติดเชื้อ แผลถูกของมีคมบาด หรือแม้แต่รอยฟกช้ำนั้นหายได้ช้านั่นเป็นสัญญาณที่เห็นได้ชัดว่­าคุณกำลังเผชิญกับโรคเบาหวานค่ะ เพราะระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเกินกว่าปกติของผู้ป่วยเบาหวานจะ­­­­ไปขัดขวางการทำงานของหลอดเลือด โดยจะไปสร้างความเสียหายในหลอดเลือด ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณที่มีบาดแผลได้น้อย หากไม่ระมัดระวังหรือไม่รักษาความสะอาดให้ดี ก็อาจจะกลายเป็นแผลติดเชื้อ และเกิดเนื้อตายได้

ติดเชื้อราง่าย

  โรคเบาหวานเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภูมิคุ้มกันของเราอ่อนแอลง ทำให้ร่างกายจะไวต่อการติดเชื้อ และเชื้อราที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานพบบ่อยที่สุดก็คือเชื้อราแคนดิด­า (Candida) เพราะส่วนใหญ่แล้วเชื้อราชนิดต่าง ๆ มักจะเติบโตได้ดีในสภาวะที่อุดมไปด้วยน้ำตาล โดยเฉพาะคุณผู้หญิงอาจติดเชื้อราแคนดิดาได้­บ่อ­­­ยในบริเวณช่องคลอด วิธีการรักษาก็คือ การใช้ยาฆ่าเชื้อและควบคุมระดับน้ำตาล

อ่อนเพลีย อารมณ์ฉุนเฉียว

  อาการอ่อนเพลียและอารมณ์ฉุนเฉียวเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานจะต้­องเจอเมื่อระดั­­­บน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดจะส่งผลกับทุกระบบการทำงานในร่างกา­­­­ย แม้แต่กับภาวะทางอารมณ์ แต่ก็ไม่ต้องกังวลจนมากไป เพราะเมื่อร่างกายขับน้ำตาลออกมาทางปัสสาวะจนระดับน้ำตาลในเลือ­­­­ดเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ระบบต่าง ๆ ในร่างกายก็จะกลับมาทำงานได้ดีขึ้น อาการอ่อนเพลียและอารมณ์ที่แปรปรวนก็จะหายไป

มองไม่ชัด

  อาการมองเห็นไม่ชัด เห็นแสงวูบวาบ หรือเห็นอะไรลอยไปมาในดวงตา เป็นผลมาจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเกินไป โดยระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงจะไปทำปฏิกิริยาภายในดวงตา ทำให้เกิดความผิดปกติ แต่ไม่ต้องกังวลค่ะ เพราะอาการนี้จะไม่เป็นตลอดไปหากสามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู­­­­่ในระดับปกติได้ แต่ก็ควรที่จะหมั่นตรวจเลือดเพื่อเช็กระดับน้ำตาลในเลือดอย่างส­­­­ม่ำเสมอ เพราะถ้าหากไม่ตรวจเช็กและควบคุมให้ดี ก็อาจจะทำให้มีสิทธิ์ตาบอดได้

รู้สึกชาตามปลายมือปลายเท้า

  อาการชาตามปลายมือปลายเท้า เป็นอาการที่แสดงให้เห็นว่าระดับน้ำตาลในเลือดได้เข้าไปทำลายระ­­­­บบการทำงานของประสาท มักจะเป็นอาการที่เกิดกับคนที่เป็นโรคเบาหวานและมีระดับน้ำตาลสูงติดต่อกันเป็นเวลานาน วิธีการป้องกันก็คือ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับ­ที่เหมาะสม และควรรับประทานวิตามินบีเพื่อบำรุงประสาทอีกด้วย

น้ำตาลในเลือดสูง

  จริงอยู่ที่การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดจะสามารถระบุได้ชัดที่สุด­­­­ว่าคุณกำลังเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ แต่เราก็ไม่สามารถเชื่อผลการตรวจเลือดในครั้งแรกได้ค่ะ เพราะการตรวจเลือดในครั้งแรก ระดับน้ำตาลที่สูงอาจจะเกิดจากการร­ับประทานอาหารก็ได้ จึงควรได้รับการตรวจเลือดซ้ำ โดยงดอาหารและน้ำก่อนการตรวจเลือดอย่างน้อย 8 ชั่วโมง

  ทั้งนี้ระดับน้ำตาลของคนปกติจะอยู่ที่ประมาณ 99 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หากระดับน้ำตาลอยู่ที่ประมาณ 100-125 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ก็ควรระมัดระวัง แต่ถ้าระดับน้ำตาลสูงกว่า 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แม้จะตรวจซ้ำแล้วก็แปลว่าคุณกำลังเป็นโรคเบาหวาน

  อาการเหล่านี้เป็นอาการโรคเบาหวานที่สังเกตได้ชัดเจนที่สุด ดังนั้นใครที่กลัวว่าตัวเองจะเป็นโรคเบาหวานละก็ ควรสังเกตให้ดีเลยล่ะค่ะว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่ และอาการเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นประจำหรือเปล่า หากใช่ รีบไปพบแพทย์จะดีกว่าค่ะ หากทิ้งเอาไว้จนระดับน้ำตาลสูงเกินไปอาจทำให้เกิดอาการช็อกได้ ซึ่งอันตรายไม่ใช่เล่น ๆ เลย



ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : health.kapook