หลายคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า การทานอาหารรสจัด ไม่เป็นผลดีต่อร่างกายอย่างแน่นอน โดยเฉพาะรสหวานจัด ที่มักนำโรคร้ายหลายโรคมาสู่ร่างกายได้แบบที่เราไม่รู้ตัว จริงๆ แล้วเราไม่จำเป็นต้องทานหวานขนาดนั้นก็ได้เหมือนกัน
วิธีลดความหวาน
1. พูดติดปากไว้ว่า “ไม่หวาน” เวลาเราไปทานอาหารที่ไหนก็ตาม พยายามพูดติดปากให้เป็น บอกพ่อค้าแม่ค้าไปเลยว่า ขอไม่หวานนะคะ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่ม หรืออาหารที่ต้องปรุงรสก็ตาม หรือเลือกอาหารที่เห็นว่าไม่มันมากจนเกินไป เพราะจะมีรสหวานพ่วงมาด้วย
2. เปลี่ยนวิธีการปรุงใหม่ ค่อยลดความหวานลงทีละน้อย แบบที่ไม่ทรมานตัวเองเกินไป เช่น เปลี่ยนวิธีการปรุงอาหารใหม่ ถ้าเป็นคนที่ชอบใส่น้ำตาลเยอะอยู่แล้ว ให้ค่อยปรับลดลงเรื่อยๆ จนร่างกายคุ้นชิน อย่าหักดิบแบบกะทันหัน เพราะร่างกายจะไม่ยอมรับ และทำได้เพียงระยะสั้นเท่านั้น โดยมากจะใช้เวลา 1-2 เดือน ร่างกายจะชินกับความหวานน้อยและอร่อยเหมือนเดิม
3. ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ พยายามอย่าให้ร่างกายขาดน้ำ หากร่างกายขาดน้ำจะทำให้รู้สึกหิว และเพิ่มความอยากความหวานมากขึ้น การดื่มน้ำเปล่าประมาณ 1 แก้ว เมื่อรู้สึกอยากความหวานจะช่วยลดความอยากลงได้
4. เลือกทานอาหารที่มีใยอาหารสูง ไม่ว่าจะเป็น ผัก ข้าวกล้อง เลือก ผลไม้รสชาติไม่หวาน เพิ่มเติมอาหารประเภทถั่วฝัก ถั่วเปลือกแข็ง ใยอาหารจะช่วยลดความอยากความหวาน และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดลงได้ด้วย
12 สัญญาณเตือน ว่าคุณกำลังติดหวานมากเกินไปแล้ว
- รู้สึกอยากขนมหวานที่ตัวเองชอบเรื่อยๆ
- รู้สึกเหนื่อยล้า หงุดหงิด อารมณ์ไม่ดี เมื่อไม่ได้กินอาหาร หรือขนมที่มีส่วนประกอบของแป้งหรือน้ำตาล
- รู้สึกหิวบ่อย
- คิดถึงอาหารอยู่เรื่อยๆ แม้ว่าเพิ่งกินอาหารเสร็จ
- มีนิสัยกินอาหารหวานต่อจากอาหารคาวเป็นประจำ
- มีของติดตู้เย็นที่เป็นของหวานอยู่ตลอด
- ชอบผลไม้รสหวาน เช่น มะละกอ ทุเรียน สับปะรด
- ชอบผลไม้แห้ง ผลไม้ดอง ผลไม้แช่อิ่ม
- ชอบอาหารกลุ่มซีเรียลเคลือบน้ำตาล
- ต้องเติมน้ำตาลเวลาทำอาหารทุกจาน เช่น ไข่เจียวเติมน้ำตาล ทำพริกน้ำปลาเติมน้ำตาล
- ชอบงานเลี้ยงสังสรรค์ เพราะมีอาหาร เครื่องดื่มและของหวาน
- ในมื้ออาหารมักจะเลือกดื่มเครื่องดื่มที่ไม่ใช่น้ำเปล่า
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : จดหมายข่าวชุมชนคนรักสุขภาพ ฉบับสร้างสุข