งานวิจัยล่าสุดจากสกอตแลนด์พบหลักฐานบ่งชี้ว่า ผู้มีภาวะความดันโลหิตสูงที่รับประทานยาพาราเซตามอลต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะมีอาการหัวใจวาย และเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอดินเบอระกล่าวว่า การรับประทานยาพาราเซตามอลเพื่อแก้ปวดศีรษะและลดไข้นั้นมีความปลอดภัย แต่แนะนำให้แพทย์พิจารณาถึงความเสี่ยงและประโยชน์ในการสั่งจ่ายยาชนิดนี้ให้คนไข้ใช้ต่อเนื่องกันเป็นเวลาหลายเดือน
พาราเซตามอล เป็นยาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลกเพื่อบรรเทาอาการปวดและลดไข้ในระยะสั้น ๆ อย่างไรก็ตาม แพทย์มีการสั่งจ่ายยาชนิดนี้เพื่อรักษาอาการปวดเรื้อรังให้คนไข้ด้วย แม้จะมีหลักฐานเพียงเล็กน้อยที่บ่งชี้ถึงประโยชน์จากการใช้พาราเซตามอลในระยะยาว
ผลการวิจัยเชิงทดลองที่ตีพิมพ์ในวารสาร Circulation ชิ้นนี้ ระบุว่า ในสกอตแลนด์ มีคนราวครึ่งล้านรายได้รับการสั่งจ่ายยาพาราเซตามอลในปี 2018 และหากพวกเขาเป็นผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงก็อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อสุขภาพมากขึ้น
งานวิจัยชิ้นนี้ได้ศึกษาอาสาสมัคร 110 คน โดย 2 ใน 3 เป็นผู้ที่รับประทานยารักษาโรคความดันโลหิตสูง
นักวิจัยให้ผู้เข้าร่วมการทดลองกลุ่มหนึ่งรับประทานยาพาราเซตามอลขนาด 1 กรัม วันละ 4 ครั้งต่อเนื่องกัน 2 สัปดาห์ ซึ่งเป็นปริมาณที่แพทย์มักสั่งจ่ายให้คนไข้ที่มีอาการปวดเรื้อรัง ส่วนอาสาสมัครอีกกลุ่มให้รับประทานยาหลอกเป็นเวลา 2 สัปดาห์
ศาสตราจารย์ เจมส์ เดียร์ เภสัชกรคลินิกจากมหาวิทยาลัยเอดินเบอระ กล่าวว่า ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า ยาพาราเซตามอลทำให้ระดับความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งเป็น "หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอาการหัวใจวาย และเป็นโรคหลอดเลือดสมอง"
ทีมนักวิจัยจึงนำแนะให้แพทย์สั่งจ่ายยาพาราเซตามอลให้คนไข้ที่มีอาการปวดเรื้อรังโดยเริ่มต้นจากปริมาณต่ำที่สุดคือ 1 โดส แล้วให้เฝ้าระวังอาการของคนไข้ที่มีความดันโลหิตสูง และมีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจอย่างใกล้ชิด
โรคข้ออักเสบ (arthritis) คือหนึ่งในสาเหตุของอาการปวดเรื้อรังที่พบมากที่สุดในสหราชอาณาจักร แต่ที่ผ่านมา ยาพาราเซตามอลมักถูกมองว่ามีความปลอดภัยในการใช้มากกว่ายาแก้ปวดในกลุ่มต้านอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์อย่าง ไอบูโพรเฟน (ibuprofen) ซึ่งเชื่อกันว่าทำให้ผู้ใช้ยาบางคนมีความดันโลหิตสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายคนระบุว่า จะต้องมีการศึกษาเรื่องนี้ในคนกลุ่มใหญ่ขึ้นและในกรอบเวลาที่ยาวนานขึ้นเพื่อยืนยันผลการศึกษาที่ได้ในครั้งนี้
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : bbc