เขียนเมื่อ : วันพฤหัสบดี ที่ 7 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2564 | อ่านแล้ว : 434 ครั้ง

แพทย์ยืนยัน ดื่มชานมไข่มุกเป็นประจำ ทำให้เป็นโรคเบาหวานจริง


ประเด็นน่าสนใจ

- ชานมไข่มุกที่กำลังเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตอยู่ขณะนี้ แม้จะเป็นเครื่องดื่มที่เพิ่มพลังงาน แต่ก็แฝงอันตรายมากับความหวาน โดยแพทย์ยืนยันว่าการดื่มชานมไข่มุกเป็นประจำทุกวันทำให้เป็นโรคเบาหวานจริง
- ชานมไข่มุกมีน้ำตาลสูงถึง 8-11 ช้อนชา
- บริโภคเป็นประจำทำให้มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด

  จากกรณีผู้ใช้เฟสบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ผลตรวจสุขภาพของผู้ป่วย อายุ 46 ปีพร้อมข้อความ “เหนื่อยเพราะชานมไข่มุก” และอธิบายเพิ่มเติมว่า

  เธอมาตรวจสุขภาพด้วยอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย และเมื่อตรวจเลือดแล้วผลเป็นที่น่าตกใจ มีค่าน้ำตาลและไตรกลีเซอไรด์เพิ่มสูงขึ้นมากจากเมื่อ 2 ปีที่แล้ว คือ ปี 2560

  จึงซักประวัติในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา พบว่าผู้ป่วยน้ำหนักลดลง ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ และอ่อนเพลียมาก ซึ่งเกิดจากการทานของหวานเป็นประจำทุกวัน นั่นคือ ชานมไข่มุกวันละ 1 แก้ว ทำให้ค่าน้ำตาลของเธอขึ้นจาก 105 เป็น 359 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร

  น้ำตาลสะสมพุ่งไปที่ 12.6% ซึ่งค่าปกติไม่ควรเกิน 5.7% และไตรกลีเซอไรด์เพิ่มจาก 222 เป็น 801 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ซึ่งจากผลการตรวจสุขภาพทำให้ทราบว่าเธอเป็นโรคเบาหวานแล้ว

  แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคเบาหวานชี้แจงว่า ความต้องการน้ำตาลต่อวันของคนปกติ คือ ไม่ควรเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน แต่ชานมไข่มุกมีน้ำตาลสูงถึง 8-11 ช้อนชา หรือประมาณข้าว 3-4 ทัพพี หรือเย็นตาโฟ 1 ชาม และส่วนประกอบหลักของชานมไข่มุกคือน้ำตาลและแป้ง ซึ่งให้พลังงานสูงถึง 300-400 กิโลแคลอรี่ หากบริโภคเป็นประจำทำให้มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด

  ด้านรักษาการนักวิชาการสาธารณสุขทรงคุณวุฒิ ด้านโภชนาการ ระบุว่าน้ำตาลที่สูงเกินจะไปสะสมที่ตับ หากเกินกว่าร่างกายจะกำจัดได้จะถูกแปลงเป็นไขมัน และภาวะไขมันในเลือดสูงก็จะตามมา

  นอกจากนี้แพทย์ยังแนะนำว่าควรใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลอย่างหญ้าหวาน ซึ่งให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 10-15 เท่า แต่เป็นความหวานที่ไม่ก่อให้เกิดพลังงาน โดยหญ้าหวานนี้ ปลอดภัยกว่าสารให้ความหวานแทนน้ำตาลชนิดอื่นที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมา และที่สำคัญผู้บริโภคควรเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารของตนเอง ไม่ควรดื่มชานมไข่มุกเป็นประจำ หากเปลี่ยนไม่ได้ควรลดความหวาน มัน เค็มลง และออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ



ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : news.mthai